OITA (โออิตะ)

   จังหวัดโออิตะ  มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องเรียวกัง และแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับน้ำแร่ โดยเฉพาะที่เมืองเปบปุ และยุฟูอิน แต่ก่อนจะไปสัมผัสเสน่ห์ของเมืองทั้งสอง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจให้แวะเยือน นั่นคือสวนดอกไม้คูจู (Kuju Hanakoen) ครอบคลุมพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ถึง 25 ไร่ ทั้งชนิดพันธุ์ที่มีมากถึง 500 ชนิด และแลนด์สเคปที่สวยงามรับกับฉากภูเขาคูจูที่อยู่ด้านหลังสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ได้ปลูกดอกไม้ขายส่งจริงจัง มีบ้างที่วางจำหน่ายหน้าทางเข้า แบ่งปันสำหรับคนรักดอกไม้ และมักจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสวนปีละ 3 หน เพื่อความประทับใจกับนักท่องเที่ยว ยกเว้นเฉพาะหน้าหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ที่สวนคูจูจะปิด    แล้วนำดอกไม้อันบอบบางไปเก็บไว้ในโรงเลี้ยงที่มีการควบคุมอุณภูมิเป็นอย่างดี ภายในสวนแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ได้แก่ เนินแห่งสีสัน เนินสายลม โซนคันทรี แล้วโซนสำหรับปลูกลาเวนเดอร์โดยเฉพาะด้วย ท่านจะพบกับฤดูกาลของดอกคอสมอส และซาลเวียร์สีแดงสดที่บานชูช่อเต็มทุ่ง ฉากภูเขาคูจูข้างหลังที่มีสายหมอกบางเบาห่มคลุม ช่างสวยงามราวกับภาพจากโปสการ์ด ในส่วนของทางเดินยังนำเราผ่านลำธารสายเล็กๆสู่โซนร้านค้า ต้องบอกว่าแต่ละร้านตกแต่งได้อย่างกลมกลืนกับสภาพสวนรอบๆและกิ๊บเก๋ตรงสินค้าจะเน้นแนงพืชพรรณธรรมชาติกลิ่นหอม ทั้งสบู่ ดอกไม้แห้ง โลชั่น ของที่ระลึกในแพคเกจน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น หรือจะนั่งจิบกาแฟตรงมุมเก้าอี้ ไม้เคล้าวิวให้สบายใจ

 

 

 

     องุ่นไร้เมล็ดรสชาติหวารอร่อยที่วางขายหน้าสวนคูจู ทำให้ระหว่างเดินทางสู่เมืองยุฟูอินเพิ่มความรื่นรมย์ขึ้นได้มาก สำหรับคนญี่ปุ่นเองนิยมนั่งรถไฟจากฟุกุโอกะมาถึงยุฟูอินเพียง 2 ชั่งโมง เสน่ห์ของที่นี่ คือความเป็นเมืองออนเซ็นที่ยังคงบรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณไว้ โดยมีถนนสายหลัก ยูโนทสิโบะ (Yunotsubo) ซึ่งมีร้านรวงกิ๊บเก๋หลากสไตล์ มีตั้งแต่สินค้าพื้นเมืองไปจนถึงสินค้าดีไซน์แฮนด์เมดไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของกินเล่น ค๊อฟฟิ่ช้อบ  ร้านหนังสือ แกลลอรี่ ที่ต้องบอกว่าเป็นแหล่งช้อปที่เทรนดี้ที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนร้านที่ดูจะได้รับความนิยมไม่น้อย และเป็นที่โด่งดังของย่านนี้ คือ ร้านขนมชื่อ
B-Speak ที่มีโรลแสนอร่อย พ่วงด้วยเรื่องราวหน้ารักๆ ของเจ้าของร้านที่อยากทำขนมรสชาติอย่างสมัยที่เคยกินตอนเด็ก ซึ่งถ้าคุณได้ชิมแล้วก็จะรู้เหตุผลว่าเพราะอะไรคนญี่ปุ่นเองถึงได่ต่อแถวซื้อกันไม่ขาดแบบนี้ สุดถนนยูโนทสึโบะจะมีทางเดินสู่ทะเลสาบคินริน (Kinrinko) ริมฝั่งรอบๆ มีทั้งร้านอาหาร คอฟฟี่ช้อบ และออนเซ็นสาธารณะแบบดั้งเดิมให้บริการ รวมถึงศาลเจ้าเล็กๆที่คนนิยมมาสักการะที่แห่งนี้จะให้สวยเค้าว่ากันว่าต้องมาดูกันในหน้าหนาว เพราะใต้ทะเลสาบมีแร่ธาตุ ซึ่งพอน้ำเย็นจัดจะมีควันจากความร้อนลอยขึ้นมา ดูแปลกตาและเป็นวิวพิเศษของยูฟูอิน ส่วนอาหารกลางวันมื้อนี้ เป็นร้านอาหารพื้นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางนาข้าวมองไปไกลๆ เห็นถนนเรียบโล่ง ส่วนเมนูนั้น จะขอยกให้ไก่ชุบแป้งทอด เป็นพระเอกเพราะเนื้อนุ่มมาก แถมแป้งยังกรอบพอดี บอกได้คำเดียวว่า “สุโก้ย!”
     บ่ายนี้จะพาทุกท่านมุ่งหน้าสู่บ่อนรก จิโกกุ เมกุริ เมืองเปบปุ ซึ่งคงมีไม่กี่แห่งในโลกที่มีบ่อน้ำแร่หลากชนิดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันอย่างที่เปบปุ ไม่ว่าจะเป็นบ่อเลือด บ่อโคลนเดือด หุบเขานรก บ่อนรกสีขาว ฯลฯ รวมทั้งสิ้น 8 บ่อ ซึ่งทั้งหมดถูกเรียกขานตามลักษณะที่ปรากฏ บ่อที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดคือ อูมิจิโกกุ (Umijigoku) หรือ บ่อทะเลเดือด เรียกตามสีฟ้าใสของน้ำแร่โคบอลในบ่อ อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 98 องศาเซลเซียส แค่ฟังก็ร้อนไปทั้งร่าง ถ้าเข้าไปใกล้ๆ จะได้ยินเสียงควันแทรกผ่านก้อนหินดังฟู่!
การจะถ่ายรูปบ่อให้สวยแนะนำให้ปีนขึ้นที่สูง และรอจังหวะที่กลุ่มควันจางตัว กดชัตเตอร์ให้รัวเร็วเพราะอีกไม่กี่วินาที ควันก็จะฟุ้งขึ้นมาเยอะเหมือนเดิม สินค้าขายดีอีกหนึ่งอย่างคือผงน้ำแร่ที่สกัดจากน้ำแร่บ่ออูมิจิโกด้วย
อีกหนึ่งบ่อแนะนำให้เดินเที่ยวได้สนุกคือ คามาโดจิโกกุ (Kamadojigoku) หรือบ่อกระทะทองแดง นอกจากบ่อหลักรายรอบยังมีบ่อเล็กบ่อน่อย ที่จัดโซนเป็นซุ้มแช่เท้า ยังมีซุ้มขนมและไข่ต้มที่ใช้ไอน้ำร้อนจากบ่อน้ำแร่ปรุงสุก นั่งกินตรงเก้าอี้ไม้ยาวสบายอารามณ์ แต่ที่ไม่ควรพลาด คือ คัสตาร์ดไข่ รสชาตินวลเนียนหวานมันอร่อยจับใจ ถือเป็นของดีเมืองเปบปุเช่นกัน
     อยู่เมืองน้ำแร่ทั้งที สถานที่ต่อไปของเราก็ต้องเกี่ยวกับน้ำแร่ ถึงจะครบอรรถรส เขตยูเกะมูริ (Yukemuri) ที่เงียบสงบกลางขุนเขา มีกิจกรรมทำอาหารด้วยไอน้ำแร่ร้อนไว้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งอาหารจะถูกจัดไว้ในราคาต่างกัน เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ไข่ อาหารทะเล อย่างกุ้ง หอย ปู นักท่องเที่ยวแต่ละคน ก็จะมานั่งรออาหารที่ใส่ตะแกรงหย่อนลงไปอบไอร้อนในเตา การประกอบอาหารลักษณะนี้มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เพียงแต่เมือก่อนจะใช้ผ้าขาวคลุมอาหารไว้ ต่อมาในสมัยเมจิ จึงเริ่มมีฝาไม้อันใหญ่ปิดเตา แต่ไม่ต้องห่วงจะทำผิดพลาด เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยสาธิต และคุมเวลาว่าอาหารของคุณต้องทิ้งไว้กี่นาทีจึงสุกทานได้พอดี  ดูเหมือนไฮไลต์ของเปบปุยังไม่หมดเพียวเท่านี้ เพราะที่นี่ยังมีการอบตัวด้วยทรายร้อน ที่แม้แต่คนญี่ปุ่นก็ยังใฝ่ฝันที่จะได้มาทำ ที่แห่งนี้มีสถานที่อบทรายร้อนอยู่เพียงสองแห่งเท่านั้น คือที่เปบปุ และคาโกชิม่า เมืองใต้สุดของเกาะคิวชูนั่นเอง การอบจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญขุดทรายดำ ที่จะมีการปล่อยน้ำแร่เข้าบ่อทราย โดยจะกลบบริเวณตัวก่อนแล้วค่อยๆไล่มาถึงหัวใจ ถ้าใครร้อนมากอาจจุเว้นกลบที่เท้า ส่วนเวลาแนะนำคือ 15-20 นาที แต่ถ้าไม่เคยมาก่อน อาจเริ่มที่ 10 นาที ข้อดีคือช่วยเรื่องระบบไหลเวียน และรักษาโรคภายในได้แบบผลรวดเร็วกว่าการแช่ออนเซ็น