เจดีย์กลางน้ำ สิเรียม (YELEPAYA)


     เมืองสิเรียม (Syriam) อยู่ห่างจาเมืองย่างกุ้ง25 กิโลเมตร วางตัวอยู่ ณ จุดที่แม่น้ำหงสาและแม่น้ำย่างกุ้งไหลมาสบกันก่อนจะรวมตัวกันไหลสู่อ่าวเมาะตะมะ ระหว่างทางเราจะต้องผ่านแม่น้ำหงสาที่แสนกว้างใหญ่เวิ้งว้าง ใหญ่ขนาดที่ว่าไม่น่าจะมีเรือแจวเล็กจิ๋วลอยลำอยู่ได้ เพราดูจะเป็นเส้นทางสัญจรของเรือสินค้าขนาดยักษ์เสียมากกว่า ริมฝั่งน้ำก็ขนดแน่นไปด้วยไม้ใหญ่ใบเขียว พาความคิดให้ล่องลอยถึงเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้วว่าสภาพริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาคงจะร่มรื่นไม่แพ้พม่าในเวลานี้เลย

 

 

     สิเรียมเคยตกเป็นเมืองในปกครองของโปรตุเกส ด้วยชัยภูมิที่เหมาะเจาะของเมืองส่งให้สิเรียมกลายเป็นเมืองท่าสำคัญในสมัยนั้น และยังคงครองสถานะเดิมแม้เมื่อมีอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมในเวลาต่อมา สิ่งที่ตกทอดมาจากสมัยนั้นได้แก่โรงงานกลั่นน้ำมันที่อังกฤษเข้ามาสร้างไว้ซึ่งยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงพลเมืองหน้าเข้มด้วยเป็นชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย สืบเนื่องมาแต่ครั้งบรรพบุรุษถูกอังกฤษเกณฑ์มาจากอินเดียเพื่อมาเป็นแรงงาน ณ เมืองสิเรียม

     แม้วันคืนของสิเรียมจะผ่านมาหลายยุคหลายสีสัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติในเมืองอื่นๆคือพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอันแรงกล้า หนึ่งในพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวพม่าและชาวไทยล้วนปรารถนาจะได้มาสักการะสักครั้งคือ เจดีย์กลางน้ำเยเลพญา (Yelepaya)

     ตำนานเล่าขานกันมาว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างสมัยมอญเรืองอำนาจเมื่อราวพันกว่าปีล่วงมาแล้วโดยคหบดีชาวมอญ บ้างก็เล่าว่าราวพันกว่าปีก่อนมีพระแปดรูปมาจากลังกา มาปฏิบัติธรรมที่เกาะธรรมชาติที่อยู่กลางน้ำ เมื่อปฏิบัติเสร็จได้เวลากลับก็ได้สร้างเจดีย์กลางน้ำนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนไหล่ของพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระพุทธรูปทองคำหนึ่งองค์ และพระพุทธเจ้าสลักจากหินอ่อนอีกหนึ่งองค์ซึ่งแกะจากหินอ่อนทั้งหมดหกก้อน ก้อนแรกแกะส่วนพระเศียร สองก้อนต่อมาสำหรับแขนสองข้าง อีกสองก้อนสำหรับขาอีกสองข้าง อีกหนึ่งก้อนที่เหลือแกะเป็นส่วนพระวรกาย แล้วค่อยนำชิ้นส่วนทั้งหกประกอบกันขึ้นเป็นพระพุทธรูปทั้งองค์

      ก่อนจะกลับเมืองลังกา พระทั้งแปดรูป (บางตำนานก็ว่าเป็นคหบดีมอญ) ยังได้ตั้งจิตอธิฐานไว้สามข้อ ข้อแรกคือหากวันใดเกิดน้ำท่วมก้ขออย่าให้ท่วมองค์เจดีย์ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างอยู่บนเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น ข้อต่อมาคือแม้จะมีคนมากราบไหว้เจดีย์กลางน้ำมากมายขนาดไหนก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ ส่วนขอสุดท้ายให้ทุกผู้ทุกคนที่มาไหว้พระขอพรที่เจดีย์แห่งนี้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนประสพแต่โชคลาภ และสำคัญที่สุดคือขอให้พ้นจากการเวียนไหว้ตายเกิด อีกเรื่องเล่าที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันคือ หากใครปรารถนาขอพรเกี่ยวกับธุรกิจการค้าต้องมาที่เจดีย์กลางน้ำเยเลพญาแห่งนี้ ด้วยมีความศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้การค้าประสบความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป

     พุทธสถานแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากพุทธสถานแห่งอื่นๆในพม่า อย่างที่หนึ่งคือต้องถอดรองเท้า อย่างที่สองคือเงิน 1,000 จ๊าดสำหรับซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ อาจมีเตรียมเพิ่มเติมอีกนิดเป็นธนบัตร 500 จ๊าดสักใบสองใบ ใส่ไว้ในที่หยิบง่ายๆด้วยจะดีมาก เพราะทันทีที่เหยียบเข้าไปในศาลาท่าน้ำเพื่อรอลงเรือข้ามไปยังเจดีย์กลางน้ำ คุณจะตกอยู่ในวงล้อมของพี่น้องชาวพม่าที่มารออยู่ทันที

     มีทั้งเด็ก วัยรุ่น และคนหนุ่มสาวที่จะตรงรี่เข้ามาเสนอบริการมากมาย เขาจะก้มตัวเพื่อพับขากางเกงให้คุณทันที เพื่อจะได้ไม่เปียกยามต้องลงเรือ มิใยคุณจะพร่ำบอกว่าอย่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวทำเองได้ เขาก็หาฟังไม่ การบริการถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้เพียงหวังสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากคุณบ้างเท่านั้น หากตัดสินใจว่าจะให้ก็ให้อย่างรวดเร็วและรีบแจวออกทันที เพราะคนอื่นๆที่ยังไม่ได้อาจรุมขอคุณได้ หรือถ้าตัดสินใจว่าจะไม่ให้ก้เดินผ่านไปเฉยๆก็ไม่มีใครว่า

     เรือข้ามฝากที่จอดรออยู่นั้นหน้าตาไม่แปลกอะไร เพียงแต่ภายในลำเรือแทนที่จะเป็นที่นั่งตามขวางอย่างปกติ คือทุกคนหันหน้าไปทางเดียวกัน กลับกลายเป็นแถวเก้าอี้พลาสติกตัวเดี่ยวเหมือนเก้าอี้ในร้านอาหารทั่วไป ตั้งเรียงตามยาวตลอดลำเรือทั้งซ้ายและขวา ผู้โดยสารนั่งหันหน้าเข้าหากันเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรานั่นเอง นั่งเรือไปเพียง 3 – 4 นาที ก็ถึงเกาะกลางน้ำที่มีองค์เจดีย์สีทองงามปลั่งยามต้องประกายแสงแดด


 

 

     เมื่อมาถึงให้เข้าไปสักการะพระพุทธรูปหินอ่อนด้านใน ไหว้พระขอพรอย่างใจปรารถนา จากนั้นให้ถวายดอกไม้ที่ซื้อมาในแจกันในบริเวณแท่นบูชา ส่วนธูปเทียนจะจุดเลยหรือวางไว้หน้าแท่นบูชาก็ได้ เนื่องจากลมแรงจุดไฟยาก แต่ไม่ต้องห่วงเพราะทุกเย็นกรรมการวัดจะนำธูปเทียนของพระพุทธศาสนิกชนทั้งหลายไปจุดให้อย่างเรียบร้อยครบถ้วน

     เราไม่อาจรู้ได้ว่าพรที่พระทั้งแปดรูปหรือคหบดีมอญที่เล่าไว้ในตำนานว่าขอให้เกาะกลางน้ำแห่งนี้ไม่มีวันเต็มล้นแออัดด้วยผู้คนที่มากราบไหว้นั้นเป็นจริงหรือไม่ เท่าที่บอกได้คือผู้คนหลั่งไหลมาที่เกาะแห่งนี้ไม่ขาดสาย เรือหลายต่อหลายลำต่างมุ่งหมายมายังองค์พระเจดีย์เยเลพญา ทว่าเกาะขนาดเล็กกลางน้ำแห่งนี้กลับห่างไกลจากคำว่าเบียดเสียดอย่างน่าประหลาด ทุกคนสามารถแสดงการสักการะองค์เจดีย์และองค์พระในมุมมองที่พอใจได้อย่างใจปรารถนา แม้แดดจะแรงเพียงใดก็ยังมีร่มเงาตามศาลาต่างๆบนเกาะให้หลบพักพิง ทำให้ใจของเราเย็นและนิ่ง เป็นจิตกุศลอันดีงามที่จะติดตัวเรายามลาจากองค์เจดีย์เยเลพญา และติดตัวเรายามลาจากแผ่นดินที่พุทธศาสนายังคงเรืองรองไม่มีวันดับ

 
http://www.caingram.info/Myanmar/Htm/yele_paya.htm